เมนู

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้ เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่
เสมอ ในการก้าวไปข้างหน้า ในการถอยกลับ
เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการแลดู ในการเหลียวดู
เป็นผู้ทำความรู้อยู่เสมอ ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก
เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการทรงไว้ ซึ่งสังฆาฏิ บาตรและจีวร
เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการกิน ในการดื่ม ในการเคี้ยว ใน
การลิ้ม
เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการเดิน ในการยืน ในการนั่ง ใน
การหลับ ในการตื่น ในการพูด ในการนิ่ง.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะอยู่อย่างนี้แล.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ นี้เป็น
อนุสาสนีของเรา แก่เธอทั้งหลาย ฉะนั้นแล.

นางอัมพปาลีคณิกามาเฝ้า



[91] นางอัมพปาลี(1) คณิกา ได้ยินแล้วแลว่า เขาว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเสด็จดำเนินถึงนครเวสาลีแล้ว เสด็จประทับอยู่ในสวนมะม่วงของเรา
ใกล้นครเวสาลี ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลี คณิกา สั่งให้เทียมยานทั้งหลาย
ที่ดี ๆ แล้ว ตนเอง ขึ้นยานดี ๆ คันหนึ่ง ออกจากนครเวสาลีด้วยยาน
ทั้งหลายคันดี ๆ เข้าไปยังสวนของตน ไปด้วยยานตลอดพื้นที่ยานไปได้
แล้วลงจากยาน เดินเท้าไป เข้าไปเฝ้าพระผู้มีภาคเจ้า ถวายบังคมพระผู้มี
พระภาคเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังนางอัมพปาลี
คณิกา ผู้นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง ให้เห็นแจ้ง ให้รื่นเริง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ
1. บาลีพระสูตรแต่นี้ไป มีกล่าวถึงใน วินย. มหาวัคค์, ทุติยภาค 5/94-97.

ด้วยธรรมีกถา ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา ผู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้
เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบ
ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
โปรดรับภัตตาหารของหม่อมฉัน สำหรับวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า. พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยดุษณีภาพ. ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา ครั้น
ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว ก็ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มี
พระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้วกลับไป.
[92] เจ้าลิจฉวีทั้งหลายชาวเมืองเวสาลี ได้ยินแล้วแลว่า เขาว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จดำเนินถึงเมืองเวสาลีแล้ว เสด็จประทับอยู่ในอัมพ-
ปาลิวัน ใกล้เมืองเวสาลี. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น สั่งให้
เทียมยานทั้งหลายคันใหญ่ ๆ แล้วต่างก็ขึ้นยานใหญ่ ๆ ออกจากนครเวสาลี
ด้วยานทั้งหลายใหญ่ ๆ ในบรรดาเจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น เจ้าลิจฉวีบาง
พวกสีนิล มีวรรณสีนิล มีผ้านุ่งห่มสีนิล เครื่องประดับสีนิล เจ้าลิจฉวีบาง
พวกสีหลือง มีวรรณสีเหลือง มีผ้านุ่งสีเหลือง เครื่องประดับสีเหลือง เจ้า-
ลิจฉวีบางพวกสีแดง มีวรรณสีแดง มีผ้านุ่งห่มสีแดง เครื่องประดับสีแดง
เจ้าลิจฉวีบางพวกสีขาว มีวรรณสีขาว มีผ้านุ่งห่มสีขาว เครื่องประดับสีขาว.
ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา ให้เพลา กระทบกับเพลา ให้ล้อ
กระทบกับล้อ ให้แอกกระทบกับแอก ของเจ้าลิจฉวีทั้งหลายหนุ่มๆ. ครั้นแล้ว
เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น ได้กล่าวกะนางอัมพปาลีคณิกาว่า แม่อัมพปาลี
เหตุไร เจ้าจึงให้เพลากระทบเพลา ล้อกระทบล้อ แอกกระทบแอก ของเจ้า
ลิจฉวีทั้งหลายที่หนุ่มๆ เล่า. นางอัมพปาลีคณิกา ตอบว่า จริงอย่างนั้นเจ้าค่ะ
ข้าแต่ลูกท่าน หม่อมฉันได้กราบทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ทรงรับภัตตาหารสำหรับวันพรุ่งนี้ไว้แล้ว. เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย นี่แน่

แม่อัมพปาลี โปรดยกภัตตาหารมื้อนี้ให้ แก่เรา ด้วยค่าหนึ่งแสนเถิด. อัมพปาลี
คณิกาตอบว่า ข้าแต่ลูกท่าน หากเป็นจริง จักทรงประทานนครเวสาลีรวม
ทั้งรายได้ในชนบทแก่หม่อมฉัน แม้ถึงอย่างนั้น หม่อมฉันก็จักไม่ยกภัตตาหาร
ยิ่งใหญ่ถวาย. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น ต่างส่ายองคุลีกล่าวว่า
ท่านผู้เจริญเอ๋ย พวกเราพ่ายแพ้นางอัมพปาลีคณิกาเสียแล้ว ท่านผู้เจริญเอ๋ย
พวกเราถูกนางอัมพปาลีคณิกาลวงเสียแล้ว. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่า
นั้น ก็เข้าไปยังอัมพปาลีวัน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าลิจฉวีทั้งหลายมาแต่ไกล
จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายเหล่าใด ไม่เคย
เห็นเทวดาทั้งหลายชั้นดาวดึงส์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะดูบริษัท
ของเจ้าลิจฉวี เหลียวดูบริษัทของเจ้าลิจฉวีจงเปรียบเทียบบริษัทของเจ้าลีจฉวี
เหมือนเช่นเทวดาชั้นดาวดึงส์. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้นไปด้วย
ยานตลอดพื้นที่ยานไปได้แล้วลงจากยาน ดำเนินไป เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค
เจ้า ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงยังเจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งนั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง ให้เห็นแจ้ง
ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถา. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวี
ทั้งหลายเหล่านั้น ผู้อันพระผู้มีพระเจ้าทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ
ให้รื่นเริงแล้วด้วยธรรมีกถา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ขอพระผู้มี
พระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของหม่อมฉันทั้งหลาย
สำหรับวันพรุ่งนี้เถิด พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนลิจฉวี
ทั้งหลาย ตถาคตรับภัตตาหารของนางอัมพปาลีคณิกา สำหรับวันพรุ่งนี้ไว้
แล้วแล. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น ต่างส่ายองคุลีกล่าวว่า ท่าน
ผู้เจริญเอ๋ย พวกเราพ่ายแพ้นางอัมพปาลีคณิกาเสียแล้ว. ท่านผู้เจริญเอ๋ย พวก

เราถูกนางอัมพปาลีคณิกาลวงเสียแล้ว. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น
ชื่นชมอนุโมทนาพระพุทธภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วลุกจากอาสนะ
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณ แล้วหลีกไป.
ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา สั่งให้เตรียมของควรเคี้ยว ของควร
บริโภคอันประณีต ในสวนของตนจนสิ้นราตรีนั้น แล้วให้กราบทูลกาลเวลา
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ได้เวลาแล้ว พระเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว. ครั้ง
นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งสบง ทรงถือบาตรและจีวร ในเวลาเช้า
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปสู่ที่อังคาสของนางอัมพปาลีคณิกา ครั้นแล้ว
ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้. ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา อังคาสเลี้ยงดู
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประมุข ด้วยของควรเคี้ยว ของควรบริโภค
อันประณีตด้วยมือของตน. ครั้งนั้นแล ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว
ทรงวางพระหัตถ์ลงจากบาตรแล้ว(1) นางอัมพปาลีคณิกา ถือเอาอาสนะต่ำ นั่ง
อยู่ ณ ด้านหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า หม่อมฉันขอถวาย
อาราม(1) นี้ แด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประมุข พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับพระอารามแล้ว. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังนางอัมพปาลีคณิกาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วย
ธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จกลับไป.(3)
1. ในที่นี้ แปลคำทุติยาวิภัตติ เป็นสัตตมีวิภัตติ แต่ในวินัย. มหาวัคค์ ทุติยภาค 5/97 มี
ฟุตโน้ตว่า "อภิวาเทตฺวา-ถวายบังคม" ต่อคำว่า "โอนีตปตฺตปาณี-วางพระหัตถ์ลงจาก
บาตรแล้ว" ถ้าอย่างนี้ เป็นทุติยาวิภัตติ
2. ใน วินย. มหาวัคค์ ทุติยภาค 5/97 ว่า "อมฺพปาลีวนํ- สวนนางอัมพปาลี"
3. ใน วินย. มหาวัคค์ ทุติยภาค 5/97 ว่า "อุฏฺฐายาสนา เยน มหาวนํ เตนุปสงฺกมิ.
ตตฺร สุทํ ภควา เวสาลิยํ วิหรติ มหาวเน กูฏาคารสาลายํ-ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเข้า
ไปป่ามหาวัน ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน
ใกล้นครเวสาลีนั้น"

ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ ณ อัมพปาลีวัน ใกล้
นครเวสาลีนั้น ก็ทรงทำธรรมีกถานี้แลเป็นอันมาก แก่ภิกษุทั้งหลายว่า ศีล
มีอยู่ด้วยประการฉะนี้ สมาธิ มีอยู่ด้วยประการฉะนี้ ปัญญา มีอยู่ด้วยประการ
ฉะนี้ สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันสมาธิอบรม
แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้นด้วยดี
โดยแท้จากอาสวะทั้งหลาย กล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ดังนี้.

เวฬุวคาม(1)




[93] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในอัมพปาลีวัน ตาม
พระอัธยาศัยแล้ว ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถอะ อานนท์ เราจักเข้าไป
ยังหมู่บ้านเวฬุวคามกันเถิด. ท่านพระอานนท์ทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระเจ้าข้า. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
เสด็จดำเนินถึงหมู่บ้านเวฬุวคามนั้น. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่
ณ หมู่บ้านเวฬุวคามนั้น.
(2) ในหมู่บ้านเวฬุวคามนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไปเถิด จงไปจำพรรษาตามมิตรสหาย
ตามบุคคลที่เคยพบเห็นกัน ตามบุคคลที่เคยคบหากัน โดยรอบนครเวสาลีเถิด
ส่วนเรา ตถาคตจะเข้าจำพรรษาในหมู่บ้านเวฬุวคามนี้แล. ภิกษุทั้งหลายเหล่า
นั้น กราบทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า. แล้วไปจำพรรษาตาม
มิตรสหาย ตามบุคคลที่เคยพบเห็นกัน ตามบุคคลที่เคยคบหากัน โดยรอบ
นครเวสาลี. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเข้าจำพระวัสสา(3) ในหมู่บ้าน
เวฬุวคามนั้นเอง.
1. บางแห่งเป็น "เวลุวคามก" และเป็น "เพลุวคามก" ก็มี
2. บาลีพระสูตรแต่นี้ไป มีกล่าวถึงใน สํ. มหาวาร. 19/203-206
3. พระพรรรษาที่ 45 เป็นพรรษาสุดท้าย